เรื่องราวความรักของคุณตาวัย 86 ปีที่แม้แต่ตัวเองจะชราภาพมากแล้วและเดินเหินก็ค่อนข้างลำบากแต่ก็ยังอยากจะแสดงความรักให้กับภรรยาของตนเองด้วยกันขี่รถมอเตอร์ไซค์ด้วยมือข้างเดียวเพราะมืออีกข้างนั้นต้องถือไม้เท้าเพื่อเดินทางมาที่ร้านทองเพื่อซื้อสร้อยคอทองคำพร้อมจี้รูปหัวใจให้กับภรรยาสุดที่รักของตนเอง

        สำหรับเรื่องราวความรักของคุณตาวัย 86 ปีนี้มีพนักงานร้านทองแห่งหนึ่ง  ที่ชื่อว่าห้างทองมีจงมี   ซึ่งห้างทองแห่งนี้อยู่ที่จังหวัดชุมแพ  ได้มีการโพสต์เล่าเรื่องราวเอาไว้ด้วยโพสต์เอาไว้ตั้งแต่ ปีพ .ศ. 2561   เบอร์ข้อความในโพสต์นั้นพนักงานได้เล่าถึงคุณตาซึ่งอายุมากแล้วหนูก็ฟังไม่ค่อยจะได้ยินตาก็ฝ้าฟางแต่ก็ยังอยากจะมาซื้อสร้อยคอทองคำไปให้กับศรีภรรยาสุดที่รักด้วยคุณตาได้มีการนำเชือกวัดความยาวของสร้อยคอที่ภรรยา ใส่ได้พอดีมาให้ทางร้านแล้วระบุกับทางร้านว่าคุณตาต้องการสร้อยคอทองคำหนักจำนวน 1 บาท 1 เส้น

        นอกจากนี้ยังให้พนักงานหยิบจี้ให้อีก 1 อันซึ่งมีการระบุด้วยว่าที่นั้นจะต้องเป็นรูปหัวใจด้วยคุณตาจะซื้อไปให้คุณยายซึ่งพนักงานได้มีการเขียนเพิ่มเติมว่าคุณตาคุณยายคู่นี้เป็นที่รู้จักกันดีเพราะมักจะจับมือกันมาซื้อทองที่ร้านทองแห่งนี้อยู่เป็นประจำอย่างไรก็ตามเนื่องจากคุณยายอายุมากแล้วปัจจุบันอายุ 82 ปีแล้วทำให้การเดินเหินนั้นค่อนข้างลำบากดังนั้นคุณตาจึงเป็นผู้เดินทางมาซื้อสร้อยให้กับภรรยาของตนเองซึ่งครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่มาซื้อทองด้วยกันนั้นก็เป็นการซื้อต่างหูรูปดอกไม้ให้กับคุณยาย 

          ไวรัลดังข้ามเวลา ความรักของคุณตา พนักงานร้านทองยังระบุด้วยว่าหลังจากที่คุณตามาซื้อทองให้กับคุณยายนั้นเธอรู้สึกว่าร้านทองของเธอที่มีการตกแต่งเป็นสีแดงทั้งร้านนั้นกลายเป็นสีชมพูทั้งร้านไปเลยทีเดียวเธอรู้สึกว่าความรักที่คุณตามีต่อคุณยายนั้นช่างยิ่งใหญ่จริงๆถึงแม้ว่าอายุของทั้งคู่จะมากแล้วแต่ก็ยังพยายามที่จะแสดงความรักต่อกัน

           อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าโพสต์นี้จะมีการโพสต์เอาไว้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วแต่เมื่อถึงใกล้ช่วงวันวาเลนไทน์ปรากฏว่าได้มีเพจต่างๆมากมายได้มีการนำโพสต์ดังกล่าวย้อนกลับมาแชร์กันใหม่อีกครั้งหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นไวรัลดังข้ามเวลากันเลยทีเดียวซึ่งหลายคนที่ได้อ่านข้อความที่มีการใช้กันนี้ต่างก็รู้สึกยินดีและรู้สึกสดชื่นกับความรักที่คุณตากับคุณยายมีให้แก่กัน

        สำหรับชีวิตของคนเรานั้นไม่มีใครที่จะสามารถมีชีวิตที่เป็นอมตะได้ดังนั้นควรจะทำทุกวันให้มีความสุขโดยเฉพาะถ้าหากว่าเรามีคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันและพร้อม อยู่ด้วยกันจนความตายมาพรากจากกันแล้วควรจะต้องทำดีให้กันอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ยังมีโอกาสเพราะหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายจากก่อนไปแล้วเราจะไม่มีโอกาสทำความดีย้อนกลับไปนั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย  ดูบอลสด

          เมื่อวันที่ 11 เดือนกุมภาพันธ์ ปีพศ. 2565   เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. นางรอง ประจำจังหวัดบุรีรัมย์

        ร้านทองชื่อดัง จังหวัดบุรีรัมย์  ได้รับแจ้งจากเจ้าของร้านทองเยาวราชหลานแม่กิมกี่ว่าถูกแก๊งมิจฉาชีพเข้ามาหลอกลวงแต่โชคดีที่ไหวตัวทันซึ่งเจ้าของร้านทองได้มีภาพมิจฉาชีพจากกล้องวงจรปิดภายในร้านนำไปเป็นหลักฐานให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีด้วย

         สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้เจ้าของร้านทองด้วยเล่าข้อมูลว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 เดือนกุมภาพันธ์พ.ศ 2555 ที่ผ่านมาซึ่งช่วงเวลาเกิดเหตุนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณ 10:30 น ในระหว่างนั้นร้านทองได้มีการเปิดทำการตามปกติอยู่ดีๆก็มีลูกค้าเป็นผู้ชายเดินเข้ามาภายในร้านซึ่งชายคนดังกล่าวอายุประมาณ 35-40 ปีใส่หน้ากากอนามัยมาติดต่อขอซื้อทองรูปพรรณและทองคำแท่ง

           โดยต้องการซื้อทองเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางร้านก็ได้นำทองออกมาให้เลือกโดยระหว่างนั้นก็พยายามจากสังเกตลูกค้าชายคนดังกล่าวไปด้วยแต่ก็ไม่มีพฤติกรรมที่จะมีการเข้ามาปล้นร้านทองเหมือนกับในขาวที่ผ่านมาเพียงแต่ว่าลูกค้าได้มีการเลือกทองไว้มากกว่า 200 บาทซึ่งถ้าหากคิดเป็นยอดเงินก็มีมูลค่าสูงถึง 5.8 ล้านบาทเลยทีเดียว  aesexy    อย่างไรก็ตามลูกค้ารายดังกล่าวระบุว่าทองทั้งหมดนั้นเถ้าแก่ของเขาต้องการที่จะซื้อนำไปแจกให้กับพนักงานซึ่งได้มีการตกลงเลือกทองกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วและนัดการจ่ายเงินผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร

              อย่างไรก็ตามวิชาชีพคนดังกล่าวได้มีการโทรศัพท์ไปหามิจฉาชีพอีกคนหนึ่งหลังจากนั้นก็มีข้อความจากทางธนาคารว่ามีเงินเข้าบัญชีจำนวน 5.8 ล้านบาทซึ่งทางเจ้าของร้านทองเองก็ยังไม่ได้วางใจได้มีการให้ลูกน้องนำสมุดบัญชีไปอัพโดยสมุดบัญชีก็มีการระบุว่ามียอดเงินเข้าจำนวน 5.8 ล้านบาทจริงแต่ทั้งนี้เจ้าของร้านเองยังต้องการความแน่นอนอีกรอบนึงจึงได้มีการโทรไปที่ธนาคารเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารช่วยเช็คเงินในบัญชีให้ว่ามีเงินเข้าจริงตามที่มีการอัพ Book Bank หรือไม่

           ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ธนาคารก็ได้อธิบายข้อมูลว่ายอดเงินจะยังไม่เข้าเพราะเป็นการจ่ายผ่านทางแคชเชียร์เช็คจะต้องรอเคลียริ่งประมาณ 1 วันที่อัพบุ๊คแบงค์แล้วเห็นยอดเงินนั้นจะเป็นข้อมูลล่วงหน้าให้ทราบก่อนเพียงเท่านั้นเมื่อทราบเรื่องราวดังกล่าวทางเจ้าของร้านทองจึงได้มีการคุยกับมิจฉาชีพว่าต้องการเป็นเงินสดทำให้มิจฉาชีพนั้นเดินออกจากร้านไปทันทีและขับรถหนีหายไป

          เนื่องจากว่าจอดรถห่างจากหน้าร้านเพียงแค่ประมาณ 50 เมตรเท่านั้นทำให้เจ้าของร้านทองมั่นใจได้ว่านี่คือแก๊งมิจฉาชีพที่จะมาหลอกเอาทองจากทางร้านเธอจึงได้แจ้งความดำเนินคดีนอกจากนี้ได้มีการโทรไปหาญาติพี่น้องที่เปิดร้านทองเหมือนกันและได้มีการแชร์ประสบการณ์ให้กับญาติพี่น้องที่เปิดร้านทองเพื่อไม่ให้ถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกเอาทองไปอย่างไรก็ตามเจ้าของร้านทองรายนี้ระบุว่าเธอได้ข่าวมาว่ามีร้านทองร้านหนึ่งถูกมิจฉาชีพกลุ่มนี้หลอกเอาทองไปได้ถึง 30 บาทไปแล้ว 

เพื่อนเจ้าบ่าวแสบ ขโมยเงินงานแต่ง เมื่อวันที่ 12 เดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. 2565  เว็บไซต์ชื่อดังของต่างประเทศได้เปิดเผยเรื่องราว คำพิพากษาของศาลในประเทศจีน 

จากกรณีที่มีชายคนหนึ่งถูกแจ้งข้อหาและถูกจับกุมในข้อหาขโมยเงินในงานแต่งงานของเพื่อนร่วมชั้นของตนเอง  โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 เดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.  2565 ซึ่งศาลก็พิพากษาจำคุกเป็นจำนวน 1 ปี 9 เดือน  นอกจากนี้ยังให้คนร้ายชดเชยเงินให้กับเจ้าบ่าวเป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,000 หยวนอีกด้วย 

         สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเกิดเป็นคดีความนั้นเกิดขึ้นเมื่อชายคนหนึ่งนามสกุลโจว ได้จัดงานแต่งงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง  โดยมีการชวนเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาร่วมในงานแต่งงานด้วยและหนึ่งในนั้นก็คือชายนามสกุลซ่ง  ซึ่งเป็นคนร้ายในคดีดังกล่าว  โดยระหว่างที่ทุกคนของทางบ้านเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไปร่วมพิธีแต่งงานที่โรงแรมนั้นปรากฏว่าชายสกุลซ่งได้แอบลักลอบเข้าไปในบ้านของเจ้าบ่าวและเข้าไปภายในห้องนอนของพ่อเจ้าบ่าว  หลังจากนั้นก็ค้นหาทรัพย์สินได้เงินมาจำนวนทั้งสิ้น 25000 หยวน 

            หลังจากที่ใช้สกุลซ่งขโมยเงินจากบ้านของเจ้าบ่าวเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินทางไปยังโรงแรมที่จัดงานและนำเงินที่ขโมยจำนวน 500 หยวนใส่ซอง ให้กับเจ้าบ่าวเพื่อเป็นของขวัญอีกด้วยนอกจากนี้ระหว่างที่มีการจัดงานนั้นเจ้าบ่าวจำเป็นที่จะต้องมีการใช้เงินสกุลซ่ง ยังใจดีให้เงินเจ้าบ่าวยืมอีกเป็นจำนวนเงิน 5000 หยวน ซึ่งเงินที่ยืมนั้นก็คือเงินที่ขโมยมานั่นเอง

          อย่างไรก็ตามหลังจากเสร็จสิ้นพิธีงานแต่งงานนั้นครอบครัวของฝ่ายเจ้าบ่าวจึงมารู้ภายหลังว่าเงินที่เก็บไว้ภายในบ้านนั้นหายไปจึงได้แจ้งความซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ได้มีการเข้าไปสืบสวนสอบสวนหาตัวคนร้ายจนในที่สุดก็ทราบว่าคนร้ายที่ขโมยเงินดังกล่าวไปก็คือเพื่อนของเจ้าบ่าวซึ่งเป็นชายสกุลซ่งนั่นเอง  

       ประวัติของชายสกุลส้มที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลมานั้นปรากฏว่าเขามีนิสัยชอบขโมยมีประวัติการก่อเหตุอาชญากรรมและต้องติดคุกมาเป็นจำนวนถึง 2 ครั้งแล้วก่อนที่จะมีการมาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็เพิ่งติดคุกไปเมื่อช่วง ปีพ.ศ.2563 และเพิ่งจะออกจากคุกมาไม่นานนี้เอง 

        จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีการแชร์กันออกไปในโลกออนไลน์ทำให้ผู้คนต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันเป็นอย่างมากด้วยหลายคนนั้นสงสัยว่าทำไมชายสกุลซ่งถึงได้มีพฤติกรรมขโมยแม้แต่เงินของเพื่อนร่วมชั้นเรียนนอกจากนี้หลายคนยังเชื่อว่าถึงแม้ว่าชายหนุ่มรายนี้จะออกจากคุกมาแล้วแต่นับจากนี้เป็นต้นไปเขาคงไม่มีเพื่อนคนไหนที่อยากจะคบค้าสมาคมกับเขาอีกแล้วเพราะไม่สามารถไว้ใจชายสกุลซ่งได้อีกต่อไปนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  gclub ฝาก ขั้นต่ำ 20

ถูกมิจฉาชีพหลอกเงิน 7แสน ในช่วงประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีแก๊งมิจฉาชีพระบาดอย่างหนักโดยการวิชาชีพเหล่านี้นั้นมีทั้งคนไทยที่หลอกกันเองและยังมีชาวต่างชาติที่เป็นการตั้งเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเข้ามา

ซึ่งหลายครั้งที่มีการนำเสนอข่าวผ่านทางสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็น Social Media หรือแม้แต่สื่อทีวีรวมถึงสิ่งพิมพ์แต่ไม่ว่าจะมีการประชาสัมพันธ์มากแค่ไหนแต่คนไทยก็ยังคงถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงอยู่เสมอโดยวิธีการของแก๊งมิจฉาชีพที่มาหลอกนั้นก็จะมีวิธีการแตกต่างกันออกไป

     ล่าสุดเด็กสาววัย 17 ปีถูกแก๊งมิจฉาชีพติดต่อมาให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น ที่ชื่อ Vantage เป็น Application สำหรับการลงทุนและยืนยันว่าจะได้รับเงินค่าตอบแทนจากเงินที่ลงทุนไป 10% ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ปีพ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา  เด็กสาวคนดังกล่าวได้มีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและทดลองลงทุนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,000 บาทด้วยกัน

ซึ่งปรากฏว่าได้รับเงินตอบแทนมาจริงเป็นเงินปันผลจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์คิดเป็นเงิน 300 บาท  ทำให้เด็กสาววัย 17 ปีหลงเชื่อและเกิดความโลภคิดว่าถ้ายิ่งลงทุนเยอะก็จะได้ผลตอบแทนเยอะดังนั้นจึงได้มีการลงทุนครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ไปเรื่อยๆโดยการลงทุนนั้นก็เพิ่มจำนวนเงินมากขึ้น

          อย่างไรก็ตามเมื่อมีการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้นปรากฏว่าเงินปันผลที่ควรจะสามารถถอนออกมาได้นั้นระบบมีการล็อกมิจฉาชีพจึงได้หลอกให้เด็กสาววัย 17 ปี

โอนเงินเข้ามาเพื่อทำการปลดล็อคเพื่อที่จะได้สามารถเบิกเงินปันผลได้ซึ่งหญิงสาวได้มีการหลงเชื่อโอนเงินไปทั้งสิ้น 7แสน บาทด้วยกันด้วยเงินทั้งหมดนั้นเป็นเงินของพ่อที่เก็บสะสมเอาไว้เพื่อที่จะเอาไปไถ่ถอนบ้านและที่ดิน ที่เคยนำไปจำนอง

         อย่างไรก็ตามเป็นเงินที่โอนไปนั้นปรากฏว่าเด็กสาวไม่สามารถที่จะทำการเบิกออกมาได้ไม่ว่าจะเป็นเงินที่มีการโอนเข้าไปลงทุนหรือแม้แต่เงินปันผล

นอกจากนี้มิจฉาชีพยังได้มีการบล็อกช่องทางการติดต่อทำให้เด็กสาวรู้แล้วว่าตนเองนั้นถูกหลอก ดังนั้นจึงได้มีการแจ้งให้ผู้เป็นพ่อทราบซึ่งผู้เป็นพ่อเองก็ได้พาลูกสาวไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีและให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือโดยมีการติดต่อไว้ที่สภ.เมืองเลย 

        อย่างไรก็ตามการถูกหลอกให้โอนเงินเข้าไปบัญชีของแกมิจฉาชีพในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกวันบางคนถูกหลอกระดับหมื่นบาทบางคนทุกระดับแสนบาทและถูกหลอกระดับล้านบาทก็มีและทุกครั้งที่มีการแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถที่จะจับกุมมิจฉาชีพกลุ่มนี้ได้และเงินที่ถูกโอนไปนั้นก็จะสูญไม่สามารถที่จะดึงเงินกลับคืนมาได้

         ดังนั้น เราจึงควรระมัดระวังไม่ควรตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพและไม่ควรเกิดความโลภมาก  นอกจากนี้ควรติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้ไม่พลาดข่าวสำคัญสำคัญ และจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อเหมือนกับเด็กสาววัย 17 ปีรายนี้ 

 

สนับสนุนโดย    UFABET เว็บตรง

        สาวแทบร้องไห้  หลวงพ่อใช้ปากกาเคมี  เชื่อว่าใครที่มีการออกรถใหม่สิ่งหนึ่งที่หลังจากที่ขับรถออกมาจากโชว์รูมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คือการขับรถเข้าไปในวัดซึ่งส่วนใหญ่แล้ว

ก็มักจะเลือกวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังหรือว่าที่ตนเองนับถือแล้วขับรถไปให้พระสงฆ์ที่ตัวเองนับถือช่วยทำการเจิมรถให้เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วการเจิมรถนั้นคนที่นำรถไปทำการเจิมจะต้องมีการเตรียมของไปด้วยนั่นก็คือน้ำอบแป้งดินสอพองดอกไม้ธูปเทียนเพื่อที่หลวงพ่อจะได้มีการประกอบพิธีและทำการเจิมรถยนต์ให้

         อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันบางคนไม่ได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้าซึ่งจะต้องเป็นหลวงพ่อหรือพระสงฆ์ที่ทำการเจิมรถนั้นเตรียมให้และปัญหาที่ตามมาก็คือบางครั้งหลวงพ่อเตรียมหาสิ่งของที่จะทำการเจิมไม่ทันนั่นก็คือดินสอพองกับน้ำอบทำให้หลายครั้งที่หลวงพ่อทำการเจิมรถด้วยการใช้ปากกาเคมีเขียนยันต์ไว้บนด้านในของหลังคารถซึ่งทำให้เจ้าของรถนั้นแทบจะร้องไห้เลยทีเดียวก็ว่าได้เพราะปากกาเคมีนั้นเราทราบกันดีอยู่แล้วว่ามันไม่สามารถที่จะลบออกได้ถ้าหากนำไปเขียนไว้กับอะไรแล้วนั่นเอง 

          ล่าสุดได้มีหญิงสาวคนหนึ่งได้มีการโพสต์คลิปลงใน Application tiktok

โดยหญิงสาวรายนี้ระบุว่าเธอไปออกรถใหม่ป้ายแดงออกมาเลยทีเดียวเมื่อวันที่ 6 เดือนพฤษภาคม ปีพ.ศ. 2565 และด้วยความเชื่อของคนไทยและความเชื่อของเธอเองหลังจากที่ออกรถใหม่มาแล้วเธอก็อยากที่จะให้รถของเธอนั้นขับไปไหนก็ราบรื่นมีแต่ความปลอดภัยเป็นความเป็นการเพิ่มความสิริมงคลให้กับตัวเองจึงได้มีการนำรถใหม่ป้ายแดงนั้นไปที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อให้พระสงฆ์ทำการเขียนยันต์เจิมรถให้

            อย่างไรก็ตามในระหว่างที่หญิงสาวรายนี้ได้มีการถ่ายคลิปในขณะที่พระสงฆ์ทำการเจิมรถให้เธอพบว่ารถมินิมอลน่ารักของเธอนั้นถูกพระสงฆ์ใช้ปากกาเคมีเขียนยันต์ซึ่งทำให้เธอนั้นตกใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียวเพราะเธอไม่รู้ว่าเธอจะสามารถที่จะลบยันต์ที่เขียนด้วยปากกาเคมีได้อย่างไรเธอจึงได้มีการโพสต์คลิปนี้ลงในโซเชียลเพื่อขอความคิดเห็นของทางโซเชียลถึงวิธีการลบ  

        อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชาวโซเชียลให้ความสนใจนั้นไม่ได้เป็นการแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของวิธีการลบหมึกปากกาให้กับหญิงสาวรายนี้แต่เป็นการพูดถึงความคิดเห็นของคนไทยเกี่ยวกับเรื่องของการเจิมรถว่านเป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณซึ่งในยุคปัจจุบันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งเจิมรถกันเพราะต่างประเทศเองก็ไม่เคยมีใครที่จะเอารถไปทำการเจิมกับพระสงฆ์และต่างประเทศเองก็ไม่ได้มีการเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าประเทศไทยหรือเกิดกว่ามากกว่าประเทศไทยที่มีการเจิมรถเลย

            ดังนั้นถ้าหากต้องการความเป็นศิริมงคลขับรถไปไหนแล้วแค่ค่าปลอดภัยก็แค่ขับรถอย่างระมัดระวังและตั้งใจก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุเรานั่นเองไม่จำเป็นที่จะต้องเอารถมาเจิมจนทำให้รถนั้นเป็นรอยและไม่สามารถลบออกได้เหมือนกับหญิงสาวรายนี้

 

สนับสนุนโดย    ufabet

          เป็นเรื่องราวของคุณยายอายุ 70 ปีท่านหนึ่งซึ่งคุณยายท่านนี้เป็นคนเมืองหนานหนิงประเทศจีนโดยเรื่องราวของคุณยายนั้นถูกเผยแพร่ลงเว็บไซต์ของ ettoday เมื่อวันที่ 8 เดือนพฤษภาคม ปีพ.ศ. 2565   สำหรับเรื่องราวของคุณยายวัย 70 ปีที่มีการนำไปโพสต์ลงในโซเ****ลจนเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลก

นั้นสาเหตุเนื่องมาจากว่าคุณยายท่านนี้ถูกทางนิติบุคคลของอพาร์ทเม้นท์ที่คุณยายอาศัยอยู่มีการเรียกเก็บค่าบริการในการใช้ลิฟท์หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการเรียกเก็บค่าปรับในการใช้ลิฟท์

หญิงชราวัย 70 ปีถูกปรับเงิน เป็นจำนวนสูงถึง 28736 หยวน ซึ่งถ้าหากคิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่เราราวๆประมาณ 1.47 ล้านบาทเลยทีเดียว 

        สำหรับสาเหตุที่คุณยายวัย 70 ปีถูกทางนิติบุคคลของอพาร์ทเม้นท์มีการเรียกเก็บเงินค่าปรับในการใช้ลิฟท์นั้นสาเหตุเนื่องมาจากว่าทางผู้อยู่อาศัยในอพาร์ทเม้นท์เดียวกับคุณยายได้มีการร้องเรียนไปทางนิติบุคคลเกี่ยวกับการใช้ลิปของคุณยายวัย 70 ปีว่ามีการใช้ลิฟท์ทุกวันและในแต่ละวันนั้นก็มีการใช้ลิฟท์ค่อนข้างนานที่สำคัญคุณยายมากขนขยะเข้ามาภายในลิฟท์ทำให้ลิฟท์นั้นส่งกลิ่นเหม็นทำให้เพื่อนบ้านซึ่งอยู่อาศัยภายในอพาร์ทเม้นท์เดียวกันต่างก็รู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมของคุณยาย

         อย่างไรก็ตามจากการร้องเรียนของเพื่อนบ้านหลายคนที่เข้าไปร้องเรียนทำให้คณะกรรมการของนิติบุคคลของอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าวเข้ามาทำการตรวจสอบโดยมีการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไปนานถึง 8 ปีซึ่งพบว่าคุณยายมีการใช้ลิฟต์ของอพาร์ตเมนต์ทุกวันและที่สำคัญเมื่อมีการคำนวณดูแล้วพบว่าวันนึงคุณยายใช้ลิฟท์ไม่ต่ำกว่า 60 ครั้ง

เลยตลอดระยะ 8 ปีที่ผ่านมาดังนั้นทางคณะกรรมการจึงมีความคิดเห็นตรงกันว่าคุณยายจะต้องมีการถูกเรียกเก็บเงินค่าปรับ  ทางเข้า UFABET ภาษาไทย    เนื่องจากว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับทางเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เดียวกันและมีการใช้งาน ลิฟต์  ของอพาร์ทเม้นท์มากเกินกว่าปกติธรรมดาทั่วไป ซึ่งเงินที่เรียกเก็บนั้นทางนิติบุคคลคิดเป็นค่าเสื่อมสภาพการใช้งานลิฟต์นั่นเอง

         อย่างไรก็ตามคุณยายวัย 70 ปีมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมกับเธอเนื่องจากว่าเธอเองนั้นก็จ่ายเงินค่าส่วนกลางต่างๆครบอยู่ตลอดเวลาและเธอก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใครส่วนขยะที่เธอเก็บมานั้นเธอก็ทำความสะอาดเป็นอย่างดีไม่ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนเพื่อนบ้านอย่างแน่นอน

        สำหรับในมุมมองของเพื่อนบ้านนั้นการที่คุณยายวัย 70 ปีขนขยะขึ้นไปในลิฟท์และใช้ลิฟต์เป็นระยะเวลานานๆเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านเป็นอย่างมากก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาเพื่อนบ้านเคยแนะนำให้คุณยายใช้บริเวณที่จอดรถใต้ดินของอพาร์ทเม้นท์ในการใช้เป็นสถานที่ในการเก็บขยะแต่คุณยายนั้นไม่ดูแลสถานที่ให้ดีทำให้มีกลิ่นเหม็นและมีแมลงหลังจากนั้นก็มีคนมาต่อว่าจนคุณยายเลิกใช้ลานจอดรถแล้วนำขยะไปเก็บไว้บนห้องของตนเองแทนจนเป็นที่มาของการใช้ลิฟต์เป็นระยะเวลานานนั่นเอง

 เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอกับพฤติกรรมของเพื่อนบ้านซึ่งอาจจะเจอทั้งพฤติกรรมที่ดีและอาจจะเจอทั้งพฤติกรรมที่ไม่ดี

สาวแฉ พฤติกรรมเพื่อนบ้านแอบลอบใช้น้ำ  ซึ่งโดยปกติแล้วเรามักจะได้ยินข่าวสารเกี่ยวกับเพื่อนบ้านมักทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นประจำส่วนหนึ่งก็มาจากความเห็นแก่ตัวของเพื่อนบ้านที่มักจะสร้างปัญหาให้กับบ้านคนอื่นๆเช่นอาจจะมีการจอดรถขวางหน้าบ้านของบุคคลอื่นหรือบางทีเป็นหนักถึงขนาดที่เอารถไปจอดบริเวณที่จอดรถของบ้านของเพื่อนบ้านมาแล้วก็มี

       อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลายคนคงไม่เคยเจอพฤติกรรมของเพื่อนบ้านเหมือนกับหญิงสาวรายนี้มาก่อนซึ่งเธอได้ออกมาแฉพฤติกรรมของเพื่อนบ้านของเธอที่เธอเองก็เพิ่งเคยประสบพบเจอมาโดยเธอนั้นมีการแชร์ไว้ใน Facebook เมื่อวันที่ 11 เดือนเมษายนปีพศ. 2565

หญิงสาวรายนี้ได้มีการเล่าว่า  บ้านของเธอนั้นได้มีการสร้างก๊อกน้ำเอาไว้บริเวณกำแพงข้างบ้านเนื่องจากว่าเอาไว้รดน้ำต้นไม้อย่างไรก็ตามเธอมากสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่เธอไม่อยู่บ้านบริเวณพื้นซึ่งเป็นจุดที่มีการติดตั้งก๊อกน้ำนั้นมักจะเปรียบแต่ถ้าหากเธออยู่บ้านพื้นจะแห้ง  ซึ่งเธอและคนในครอบครัวก็ไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร

        อย่างไรก็ตามหญิงสาวรายนี้ได้ออกมาเฉลยหลังจากที่ทุกคนออกไปนอกบ้านแล้วบังเอิญว่าน้องเขยของเธอนั้นกลับมาที่บ้านเพื่อทำการเก็บผ้าที่ตากเอาไว้แล้วบังเอิญมาเจอภาพซึ่งเป็นภาพที่เพื่อนบ้านซึ่งเป็นหญิงสูงวัยมายืนอยู่ตรงบริเวณกำแพงบ้านโดยมีการยื่นแขนผ่านทางช่องตรงบริเวณกำแพงบ้านเข้ามาฝั่งของบ้านเจ้าของโพสต์ด้วยในมือนั้นได้

มีการถือสายยางเอามาด้วยและพยายามที่จะเอื้อมมือต่อสายยางในบ้านของหญิงชราเข้ากับก๊อกน้ำบ้านของเจ้าของโพสต์นั่นเองทำให้เจ้าของโพสต์ทราบว่าสาเหตุที่พื้นบ้านเปียกอยู่เสมอตอนที่ตนเองไม่อยู่บ้านนั้นเกิดจากที่เพื่อนบ้านลักลอบใช้งานหน้าบ้านของตนเองมาโดยตลอด

       อย่างไรก็ตามหญิงสาวเจ้าของโพสต์ระบุว่าน้องเคยส่งเธอนั้นได้มีการแอบถ่ายคลิปแล้วเอามาให้เธอดูซึ่งปัจจุบันนี้ทางด้านเพื่อนบ้านที่เป็นหญิงชราก็ยังไม่ทราบว่าเธอและคนในครอบครัวของเธอทราบแล้วว่าหญิงชราแอบลักลอบใช้งานบ้านของเธออย่างไรก็ตามเธอระบุว่าเธอแค่เอาพฤติกรรมของเพื่อนบ้านมาแชร์ในโลกออนไลน์เท่านั้นและเธอยืนยันว่าเธอไม่ได้โกรธเพื่อนบ้านแต่เธอแค่งงเฉยๆว่าทำไมเพื่อนบ้านถึงมาแอบลักลอบใช้น้ำบ้านของคนอื่นโดยที่ไม่มีความรู้สึกละอายแก่ใจ

          เบื้องต้นหลังจากที่คลิปนี้มีการเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ก็มีคนเข้ามาคอมเม้นและแสดงความคิดเห็นมากมายซึ่งหนึ่งในคอมเม้นนั้นก็คือแนะนำให้เธอย้ายจุดเปลี่ยนก๊อกน้ำแทนที่จะไปต่อว่าเพื่อนบ้านเพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาอีก 

 

สนับสนุนโดย    ทางเข้า UFABET ภาษาไทย

        ดราม่าร้านข้าวมันไก่ แจ้งจับลูก  จากกรณีที่มีสามี- ภรรยาคู่หนึ่งออกมาร้องเรียนตามสื่อต่างๆโดยระบุว่าถูกร้านข้าวมันไก่ชื่อดังไล่ออกจากงาน  และยังถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาขโมยของ 

ซึ่งทางด้านเจ้าของร้านยังมีการเรียกเงินจำนวน 20,000 บาท แล้วจะถอนแจ้งความให้  อย่างไรก็ตามทางด้านสองสามีภรรยาที่มาร้องสื่อได้ให้ข้อมูลว่าฝ่ายหญิงซึ่งเป็นภรรยานั้นเป็นลูกจ้างร้านข้าวมันไก่มานานกว่า 15 ปีแล้ว ปัจจุบันเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท  

         อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ลูกจ้างสาวได้มีการอักเสบกระดูกไก่ที่ทางนายจ้างจะนำไปทิ้งเมื่อกลับไปกินที่บ้านเนื่องจากเห็นว่านายจ้างต้องทิ้งอยู่แล้วจึงได้มีการปักน้ำซุปและกระดูกไก่ไปฝากเพื่อนข้างห้องเนื่องจากว่ามีเพื่อนหลายคนที่ตกงานไม่มีงานทำ  และมีเพื่อนข้างห้องบางคนที่ป่วยติด covid ไม่สามารถออกไปหาข้าวกินเองได้

        อย่างไรก็ตามลูกจ้างสาวระบุว่าเมื่อนายจ้างรู้เรื่องก็แจ้งความจับทันทีในข้อหายักยอกทรัพย์พร้อมกันนี้ยังมีการรีดเรียบเงินจากตนเองประมาณ 20,000 บาท เพื่อแลกกับการถอนแจ้งความ  อย่างไรก็ตามเมื่อลูกจ้างหาเงิน 20,000 บาทมาให้ปรากฏว่านายจ้างได้ไล่ออกจากงานด้วยจึงทำให้ลูกจ้างรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมาร้องเรียนผ่านสื่อ

          จากกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นทำให้ทางด้านเจ้าของร้านข้าวมันไก่ได้มีการโพสต์ชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดราม่าโดยมีการโพสต์ Facebook ของร้านเมื่อวันที่ 29 เดือนสิงหาคม ปีพ.ศ. 2565

โดยสิ่งที่เจ้าของร้านครัวชี้แจงก็คือ  ทางร้านได้มีการไล่ลูกจ้างสาวคน  ufabet เว็บตรง    ดังกล่าวออกจากร้านจริงแต่ไม่ได้เกิดจากที่ลูกจ้างสาวมีการขโมยน้ำซุปและกระดูกไก่ไปกิน  แต่ลูกจ้างรายนี้มีพฤติกรรมรักและขโมยน้อยอยู่บ่อยครั้ง 

        โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการขโมยวัตถุดิบเช่นเนื้อไก่ไปขายซึ่งทางเจ้าของร้านจับได้หลายครั้งและมีการตักเตือนหลายครั้งแล้วแต่ลูกจ้างก็ยังคงแสดงพฤติกรรมดังกล่าวจนในวันที่ 23 เดือนสิงหาคม ปีพ.ศ. 2565 ลูกจ้างได้ขโมยวัตถุดิบจากทางร้านอีกครั้งทางร้านจึงได้นำตัวลูกจ้างไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดี  แต่ลูกจ้างร้องขอไม่ให้แจ้งความและเสนอเงินที่จะให้กับเจ้าของร้าน 20,000 บาทนอกจากนี้ลูกจ้างยังเป็นคนบอกว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวใดๆทั้งสิ้นกับทางร้าน         

          อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องนี้เชื่อว่าอีกไม่นานสังคมและชาวโซเชียลน่าจะรับทราบข้อมูลความเป็นจริงได้ไม่ยากเพราะการสืบสวนคดีเหล่านี้นั้นสามารถไปหาข้อมูลพยานหลักฐานจากลูกจ้างคนอื่นๆที่ทำงานอยู่ในร้านก็พอจะทราบเหตุการณ์ได้เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์มีการขโมยกันเกิดขึ้นลูกจ้างคนอื่นๆก็น่าจะรู้เห็นเหตุการณ์และสามารถเป็นพยานให้กับนายจ้างได้นั่นเอง 

      เฉลย แล้วศพลอยกลางแม่น้ำ เมื่อวันที่ 10 เดือนกุมภาพันธ์ปีพศ. 2565 ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการออกมาแถลงการณ์ยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ว่าศพที่พบนั้นเป็นศพของน้องแป้งหรือนางสาวมณีรัตน์ตามที่ญาติได้มีการระบุตัวตนเอาไว้ซึ่งน้องแป้ง นั้นได้มีการหายออกจากที่พักตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 เดือนกุมภาพันธ์ปีพศ. 2565  และหลังจากนั้นก็มีคนพบศพน้องแป้งถูกตัดชิ้นส่วนและนำศพมาทิ้งไว้ในแม่น้ำเจ้าพระยา

       ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างหนักในการสืบหาตัวคนร้ายและสาเหตุของการฆาตกรรมเอาคนร้ายมาดำเนินคดีปรากฏว่าเรื่องราวกับพลิกผันเมื่อน้องแป้งในไม่ได้ถูกฆาตกรรมใดๆแต่เป็นการฆ่าตัวตายได้น้องแป้งได้ออกจากบ้านเมื่อวันที่ 7 เดือนกุมภาพันธ์แล้วขึ้นรถแท็กซี่เพื่อมากระโดดน้ำที่บริเวณสะพานพระราม 8 โดยมีกล้องวงจรปิดจับภาพขณะที่กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน

         อย่างไรก็ตามถึงจะมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดแต่ญาติพี่น้องของน้องแป้ง  ufabet ฝากเงิน ออโต้   ยังคงไม่เชื่อว่าน้องแป้งจะฆ่าตัวตายและต้องการทราบว่าถ้าหากน้องแป้งฆ่าตัวตายจริงเหตุใดศพของน้องแป้งนั้นจึงไม่เป็นศพที่มีรูปร่างครบสมบูรณ์แต่กลับเป็นศพที่ถูกหั่นเป็นชิ้นส่วนแล้วลอยตามน้ำมาซึ่งในที่นี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเฉลยการเสียชีวิตในครั้งนี้ของน้องแป้งให้กับทางญาติของน้องแป้งได้ทราบเหตุผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการนำชิ้นส่วนศพของน้องแป้งแต่ละชิ้นส่วนนั้นไป ส่งตรวจสอบที่โรงพยาบาล

เพื่อให้ ผู้เ****วชาญได้ทำการตรวจสอบเกี่ยวกับศพตรงบริเวณบาดแผลร่องรอยของการถูกตัดว่าอาวุธอะไรที่ใช้ในการตัดซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าอาวุธที่ใช้ในการตัดร่างกายของน้องแป้งจนเป็นชิ้นส่วนนั้นมาจากใบพัดเรือขนาดใหญ่ 

        ซึ่งคดีนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถปิดคดีได้โดยมีหลักฐานเป็นข้อความที่น้องแป้งได้มีการโพสต์เอาไว้ผ่านทาง facebook ในกรณีเหมือนมีการสั่งเสียก่อนฆ่าตัวตายหลังจากนั้นน้องแป้งก็เดินทางออกจากห้องพักแล้วตรงไปที่สะพานพระราม 8 ซึ่งมีหลักฐานฝังฝ่ายบุคคลที่เป็นคนขับรถแท็กซี่และตัวแฟน ของน้องแป้งเองที่ยืนยันว่าน้องแป้งขึ้นรถแท็กซี่ออกจากห้องพักตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 7 เดือนกุมภาพันธ์แล้ว

          นอกจากนี้ยังมีหลักฐานกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพได้อย่างชัดเจนตอนที่น้องแป้งกระโดดลงจากสะพานลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาและหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ทางโรงพยาบาลออกให้คือร่องรอยตรงบริเวณบาดแผลที่ถูกตัดพบว่าเป็นใบพัดเรือขนาดใหญ่ดังนั้นศพนี้จึงไม่ได้เป็นการถูกฆาตกรรมแต่เป็นการฆ่าตัวตายแล้วไปเจอใบพัดเรือตัดร่างกายฉีกขาดนั่นเอง 

แม่เจ้าสาวแจ้งความเอาผิดเจ้าบ่าว  จากการที่เป็นกระแสดราม่าในโลกออนไลน์เมื่อมีช่างภาพได้มีการออกมาเปิดเผยว่าตนเองกำลังเจอกับปัญหากลายเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งที่ไปทำงานภายในงานแต่งงานแห่งหนึ่ง

เนื่องจากว่าหลังจากที่งานแต่งงานสิ้นสุดลงปรากฏว่าเงินสินสอดจำนวน 1 ล้านบาทได้หายไปทั้งที่มีการเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีโดยทั้งแม่เจ้าสาวได้มีการหอบเอาเงิน 1 ล้านบาทไปเก็บไว้ในห้องพักห้องหนึ่งและมีการใส่กุญแจคล้องเอาไว้เป็นอย่างดี

และทางด้านแม่เจ้าสาวเองนั้นก็มีการสงสัยช่างภาพเนื่องจากว่าเป็นกลุ่มคนกลุ่มนอกที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องซึ่งอยู่ภายในงานและในช่วงปฏิบัติหน้าที่ก่อนที่จะกลับบ้านนั้นก็เก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพอยู่แถวบริเวณหน้าห้องที่มีการนำเงินสินสอด 1 ล้านบาทไปเก็บเอาไว้อีกด้วย

       อย่างไรก็ตามทางด้านช่างภาพเจ้าของโพสต์ได้มีการโพสต์เตือนภัยให้ช่างภาพคนอื่นระมัดระวังเวลาที่ต้องไปทำงานนอกสถานที่อาจจะต้องกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัย

โดยที่ไม่รู้ตัวนอกจากนี้ยังยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองด้วยว่าตนเองนั้นรวมถึงเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนไม่ได้ทำและถ้าหากว่าความจริงปรากฏออกมาพวกเขาต้องการคำขอโทษจากบรรดาเจ้าภาพเพราะไม่พอใจกับการกระทำของแม่เจ้าสาวที่โวยวายเสียงดังเหมือนกับว่าพวกเขานั้นได้เป็นผู้กระทำความผิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสร้างความอับอายให้กับเขาและทีมงานเป็นอย่างมาก

         อย่างไรก็ตามล่าสุดหลังจากที่ทางฝ่ายเจ้าสาวได้มีการแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ลงพื้นที่เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนทันทีและได้มีการเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาทำการสอบสวน

เนื่องจากว่าเป็นบุคคลที่มีกุญแจที่สามารถไขไปในห้องดังกล่าวได้  gclub ทดลองเล่นฟรี  และจากการสืบสวนเป็นระยะเวลานานทำให้ในที่สุดเจ้าบ่าวก็ให้การรับสารภาพว่าเงินไม่ได้หายไปไหนแต่ถูกทั้งเจ้าบ่าวนำไปคืนให้กับบริษัทเช่าสินสอดนั้นเองเนื่องจากว่าเงินจำนวน 1 ล้านบาทนั้นได้มีการเช่ามาโดยที่ไม่ได้บอกกับทางครอบครัวให้ทราบ โดยมีการเช่ามาในราคา 40,000 บาท 

         อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทางเจ้าบ่าวยืนยันว่าตนเองเป็นคนกระทำความผิดเพียงคนเดียวเป็นคนไปเช่าสินสอดมาและไม่ได้มีการบอกกล่าวให้เจ้าสาวได้รับทราบเรื่องถึงครอบครัวของฝ่ายเจ้าสาวก็ไม่รู้เรื่อง   โดยเจ้าบ่าวยืนยันว่าได้มีการเข้าไปเอาเงินดังกล่าวในช่วงที่ทุกคนกำลังเลี้ยงสังสรรค์กันอยู่และไม่มีใครสนใจห้องเก็บเงินสินสอด

หลังจากนั้นก็รีบนำเงินออกไปคืนให้กับเจ้าของเงินแล้วกลับมาร่วมงานเลี้ยงเหมือนเดิมทำให้ไม่มีใครสงสัยตนเอง ซึ่งหลังจากเรื่องราวปรากฏทางด้านพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาวก็เข้ามาทำการแจ้งความเอาผิดเจ้าบ่าวในข้อหาลักทรัพย์ทันที