เรื่องเศร้าแห่งยุคอุ้มลูกมาทิ้งวัด ตอนนี้กำลังมีกระแสจากลูกโซเชียลที่พากันแชร์

เรื่องเศร้าแห่งยุคอุ้มลูกมาทิ้งวัด เกี่ยวกับผู้หญิงรายหนึ่งซึ่งเธอได้อุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งมาที่วัดโดยที่ทางพระและคนที่อยู่ในบริเวณวัดต่างก็เห็นกันว่าเธออุ้มเด็กมาวางทิ้งเอาไว้แล้วกำลังจะเดินไปดังนั้นทั้งพระและชาวบ้านต่างจึงได้ช่วยกันเรียกตัวเธอไว้แต่เธอไม่ยอมชาวบ้านจึงได้จับเธอขังไว้ในห้องที่อยู่ในเขตวัด

ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้มีคนถ่ายคลิปเอาไว้เป็นหลักฐานซึ่งต่อมาจากในคลิปจะเห็นว่าเมื่อหญิงสาวโดนขังเธอก็อาละวาดด่าทอคนที่จับเธอขัง รวมถึงต่อว่าพระอีกด้วยโดยในคลิปจะได้ยินเสียงพระและชาวบ้านพากันต่อว่าที่เธอนำรูปมาทิ้งเอาไว้ที่วัดซึ่งเธอก็ได้บอกว่าเหตุผลที่เธอต้องนำเด็กมาไว้ที่วัดนั้นเพราะเธอไม่มีเงินเธอต้องการจะกลับบ้านแต่เธอยืนยันที่ไม่ต้องการเด็กคนนี้แล้วเธอต้องการให้ทางวัดช่วยเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เธอและยังมีอีกหนึ่งคลิปซึ่งเป็นคลิปตอนที่ทางชาวบ้านและพระได้ปล่อยเธอออกมาจากที่ขัง

แล้วซึ่งคลิปนี้จะเห็นว่าเธอกำลังอุ้มลูกของเธอไว้แต่ด้วยเด็กที่ร้องไห้งอแงทำให้เธอต่อว่าเด็กอย่างหยาบคายรวมถึงใช้กำลังทำร้ายตบตีเด็กด้วยซึ่งในคลิปไม่ได้มีการเล่าต่อว่าทั้งเธอและเด็กยังคงอยู่ต่อที่วัดหรือพากันออกไปแล้วแต่เมื่อคลิปนี้มีการแชรออกไป ก็มีหลายคนเข้ามาตั้งสังเกตว่าผู้หญิงในคลิปน่าจะเป็นคนสติไม่ดีเพราะว่ารายมีหลายคนจำได้ว่าหญิงคนดังกล่าวเคยก่อเหตุแบบนี้มาแล้วเมื่อปีที่แล้วจนเป็นข่าวโด่งดังในโลกโซเชียล

และยังมีบางคนเคยบอกว่าเป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่เด็กคนนี้ตั้งแต่เด็กซึ่งเธอมีอาการทางจิตมาตั้งแต่เด็กแล้วบางคนบอกว่าเธอน่าจะลืมกินยาจึงมีอาการออกมาเช่นนี้ อันที่จริงหากหญิงคนนี้มีอาการทางจิตจริงทางญาติของผู้หญิงคนนี้ควรจะมีการดูแลผู้หญิงคนนี้และลูกของเธอเป็นอย่างดีสักหน่อย เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหากเด็กยังอยู่กับแม่ที่ลืมกินยาแบบนี้เด็กอาจจะเกิดอันตรายได้         

     หวังว่าเหตุการณ์แบบในครั้งนี้คงจะไม่เกิดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สาม พ่อแม่ และสามีรวมถึงญาติญาติของเธอควรจะมีการป้องกันเหตุการณ์แบบนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกเพราะสงสารทั้งตัวเด็กและตัวเธอเอง เพราะหากเธอทำเพราะขาดสติจริงถ้าเธอทิ้งลูกไปแล้วและเธอได้สติกลับมาเมื่อไหร่เธอคงจะเสียใจกับการกระทำของเธอเป็นอย่างมาก

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ทดลองเล่น gclub

ชายโหดบุกฉุดแฟนเก่า วันนี้ที่จังหวัดนครปฐมได้มีเหตุการณ์สร้างความตกใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมากเนื่องจากมีชายหนุ่มคนหนึ่งนำปืนอาวุธสงครามมายิงถล่มที่บ้านของแฟนเก่าตัวเองพร้อมกับฉุดฝ่ายหญิงขึ้นรถแล้วพาหลบหนีไปเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงบ้านที่เกิดเหตุก็ได้สอบปากคำเจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายอายุ 36 ปีโดยชายคนหนึ่งกล่าวแล้วว่าบ้านหลังนี้ตอนอยู่กับแฟนสาว

ซึ่งช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาได้มีรถยนต์คันนึงมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านโดยสังเกตเห็นว่ารถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้ติดแผ่นป้ายทะเบียนแล้วว่าจอดได้สักพักนึงก็มีผู้ชายสองคนเดินลงมาจากรถพร้อมนำอาวุธปืนยิงกราดเข้ามาในตัวบ้านซึ่งตนจำได้ว่า หนึ่งในชายสองคนที่ลงมาจากรถแล้วใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาในบ้านนั้นเป็นแฟนเก่าของภรรยาของตนเองได้

เมื่อทั้งสองคนยิงปืนจนหมดกระสุนแล้วหนึ่งในคนร้ายก็ได้ตรงมาที่ภรรยาของตนและได้ทำการดึงแขนภรรยาของตนขึ้นรถกระบะแล้วพาขับออกไปซึ่งตอนนี้ต้องติดต่อภรรยาไม่ได้เลยไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรโดยชายเจ้าของบ้านกล่าวว่า ภรรยาของตนได้เลิกกับแฟนเก่าไปสักพักแล้วแล้วก็ไดไอซ์มาอยู่กับตนพักใหญ่แล้วเช่นเดียวกันซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าแฟนเก่าของภรรยาจะมีทีท่าว่าอะไรทำให้ตนไม่เข้าใจว่าเหตุใด

ในวันนี้จึงต้องบุกเข้ามาฉุดภรรยาของตนและกราดยิงถล่มบ้านของตนทำไมได้เพราะอะไร  

การในครั้งนี้และเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นได้ว่าอาวุธปืนซึ่งถึงแม้จะเป็นถืออาวุธสงครามก็ช่างสามารถหาได้ง่ายได้เหลือเกินจึงเป็นเหตุให้คนร้ายนำเอาอาวุธปืนออกมายิงกันโดยไม่ได้เกรงกลัวกฎหมายไม่กลัวว่าจะถูกตำรวจจับเลยซึ่งเราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มคนมีอายุก็สามารถหาซื้อปืนแบบผิดกฎหมายแล้วนำมาก่อเหตุยิงกันตายดักฉุดกันได้ง่ายง่ายโดยที่เราไม่รู้เลยว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไปหาอาวุธปืนหรือแม้แต่อาวุธสงครามแบบนี้มาจากไหน

ซึ่งของต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะสืบหาข้อมูลข้อเท็จจริงและควรจะทลายแก๊งโจรที่เอาปืนมาขายให้กับประชาชน เพื่อที่ประชาชนจะได้มั่นใจว่าคนทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายและปืนไม่ได้หาซื้อได้กันง่ายง่ายไม่ต้องกลัวว่าชีวิตจะแขวนอยู่บนเส้นด้ายส่วนเหตุการณ์ในครั้งนี้คงต้องรอดูว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตามจับคนร้ายมาได้หรือไม่และหญิงสาวคนดังกล่าว ยังปลอดภัยดีหรือไม่

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ทดลองเล่นบาคาร่าออนไลน์ฟรี

ทำไมอินโดนีเซียถึงต้องย้ายเมืองหลวง …

ทำไมอินโดนีเซียถึงต้องย้ายเมืองหลวง หลังช่วงปีที่ผ่านมาอินโดนีเซียได้มีการประกาศว่าจะย้ายเมืองหลวงของประเทศขึ้น เนื่องจาดตอนนี้กรุงจาร์กาต้าได้ประสบปัญหามากมายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการย้ายเมืองหลวงขึ้น แม้ว่าการย้ายเมืองหลวงนั้นจะเป็นเรื่งใหญ่เพราะนอกจากจะย้ายสถานที่ของเมืองแล้ว ก็ยังถึงต้องย้ายแหล่งเศรษฐกิจแห่งรวมถึงศูนย์ราชการต่างๆที่จะต้องย้ายตามไปด้วย  และล่าสุดประเทศที่ได้ทำการย้ายเมืองใหม่นั่นก็พม่า ที่ย้ายจากกรุงย่างกุ้งมาเป็น กรุงเนปิดอร์ และ 4 เหตุผลหลักที่ทำให้อินโดนีเซียเลือกที่จะย้ายเมืองหลวงนั้นมีสามารถอะไรเรามาวิเคราะห์

อันดับแรก กรุงจาร์กาต้ากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาแผ่นดินทรุดและน้ำจะท่วมเมือง จาร์กาต้า

นั้นเป็นเมืองหลวงที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง เพราะพื้นที่ 2 ใน 5 ของพื้นที่ทั้งหมดในเมืองหลวงนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล สาเหตุหลักก็เกิดมาจากการสูบน้ำบาดาลมาใช้เกินปริมาณส่งผลทำให้พื้นดินเกิดการทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วถึงปีล่ะ 20 เซนติเมตรเป็นตัวเลขที่น่ากังวลเป็นอย่างมากว่าภายในอนาคตจาร์กาต้าจะกลายเป็นเมืองบาดาล

 

ต่อมาเป็นปัญหาที่ประเทศไทยของเราก็กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน นั่นก็คือปัญหาการจราจรติดขัด เพราะปัญหานี้นั้น ได้ส่งผลต่อการเสียโอกาสทางธุรกิจไปมากกว่า 1 ล้านล้านรูเปียร์ต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทยก็จะประมาณราวๆ 2แสนล้านล้านบาทไทย ซึ่งการจราจรส่วนใหญ่ในกรุงจาการ์ต้านั้นสัญจรได้บนท้องถนนเพียงอย่างเดียว เนื่องจาประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่มีราวๆ 10 ล้านคน ด้วยจำนวนที่มากนั้นก็ทำให้เกิดการแออัดและปัญหาเรื่องรถติดก็ได้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากการจราจรที่หนาแน่นได้ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศตามอีก

 

พื้นที่ที่จะสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่นั้นมีโอกาสเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติน้อยกว่ากรุงจาการ์ต้า เนื่องจากพื้นที่ที่จะสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่นั้น ตั้งอยู่บริเวณของกาลิมันตัน ซึ่งบริเวณนี้คือพื้นที่ทั้งหมดของเกาะบอร์เนียว ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1,400 ตารางกิโลเมตร และที่สำคัญพื้นที่บริเวณนี้ตั้งอยู่ตรงกลางของแผนที่ประเทศอินโดนีเซียพอดี ซึ่งจะสามารถป้องกันผลกระทบที่มาจากสินามิได้ เพราะว่าได้อยู่ห่างไกลจากบริเวณชายทะเล อีกทั้งยังห่างไกลจากบริเวณที่มีภูเขาไฟปะทุ ซึ่งทางอินโดนีเซียนั้นได้เริ่มมีการเคลื่อนย้ายและสร้างสถานที่ทางราชการแห่งใหม่ในปี 2564 และจะเคลื่อนย้ายหน่วยงานหลักๆในปี 2567 หรืออีกประมาณราวๆ 4 ปีข้างหน้านี้

 

เป็นการกระจายความมั่งเป็นยังเกาะอื่นๆบ้าง เนื่องจากความมั่งคั่งในปัจจุบันน้ันไปกระจุกตัวกันอยู่ที่จาการ์ต้าเพียงแห่งเดียว ซึ่งส่งผลทำใหห้ประชาชนส่วนใหญ่หลั่งหไลเข้ามาทำมาหากินแต่ในเมือง และด้วยเมืองที่มีขนาดไม่กว้างใหญ่จนทำให้เกิดปัญหาที่อยู่อาศัยแออัด และการย้ายเมืองหลวงในครั้งก็จะเป็นกระจายความมั่งคั่งไปยังส่วนอื่นๆของประเทศเพื่อเป็นกระะจายรายได้สู่เมืองรอบนอก อีกทั้งยังจะได้ลกปัญหาความหนาแน่นของประชากรภายในเมืองหลวงจาการ์ต้า

 

อย่างไรก็ดีการย้ายเมืองหลวงก็ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวเรามากนัด เนื่องด้วยปัจจุบันกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทยนั้นก็กำลังประสบปญหาที่คล้ายกันกับกรุงจาการ์ต้าประเทศอินโดนีเซีย และในอนาคตประเทศไทยของเราเองก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนในทำนองนี้ขึ้นได้

 

ขอบคุณเรื่องราวโดย  ทดลองเล่นบาคาร่าฟรี