ชายใจบุญยื่นเงิน 300 บาทให้กับเด็กนักเรียนพาร์ตไทม์ เมื่อเห็นว่าร้องเท้าของเด็กนั้นขาดวิ่น

         เป็นเรื่องที่น่ายินดีพี่ในสังคมไทยของเรายังมีคนแบบนี้อยู่เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่ร้าน MK สาขา 1 ในเขตกรุงเทพฯซึ่งเรื่องราวนี้ได้มีการโพสต์ขึ้นมาจากชายคนหนึ่งซึ่งเขาได้ไปกินอาหารในร้าน MK กับทางภรรยาของเขาเดินในขณะที่เขากำลังนั่งกินอาหารอยู่นั้นเขาได้หันไปเห็นพนักงานเสิร์ฟคนนึงซึ่งแต่งชุดนักเรียนซึ่งคาดว่าจะเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ช่วยเขาสังเกตเห็นว่ารองเท้าที่เด็กคนนั้นใส่ฉันขาดฝันเห็นนิ้วเท้าโผล่ออกมา

เขาจำได้เรียกให้พนักงานไปเรียกเด็กชายคนนั้นมาหาซึ่งเด็กชายคนดังกล่าวเดินมาพร้อมกับผู้จัดการของร้านด้วยหน้าตาของเด็ก Part Time ดูตกใจมากซึ่งอาจจะกลัวว่าเขานั้นจะร้องเรียนการให้บริการหรือไม่ในเมื่อเด็กบินมาถึงเขาก็ถามเด็กว่ารองเท้าขาดหมดแล้วทำไมถึงยังไม่ซื้อใหม่เป็นเด็กก็ได้แค่ยิ้มเท่านั้นเขาก็ยืมเงินจำนวน 300 บาทไปให้กับเจ้าชายคนดังกล่าวพร้อมกับถามเด็กว่านี่สำหรับเป็นค่าซื้อรองเท้าใหม่เงิน 300 บาทนี้พอซื้อไหม

ซึ่งเด็กนักเรียนนั้นบอกว่าเพียงพอกับการซื้อรองเท้าเขาจึงให้เงินเด็กไป 300 บาทโดยทางผู้จัดการร้านได้ขอบคุณแทนเด็กพร้อมทั้งขอถ่ายรูปเขาไว้เหตุการณ์ในครั้งนี้เขาได้นำเรื่องราวนี้มาโพสต์ใน Facebook ของคลินิกเวชกรรมสุรัตน์ซึ่งเขาเป็นเจ้าของคลินิกเองไม่มีการเปิดรักษาพยาบาลให้กับคนป่วยฟรี

ซึ่งเรื่องราวที่เขามีการนำไปโพสต์นี้เกิดความรู้สึกว่าเขารู้สึกดีใจที่ได้ช่วยเหลือคนคนหนึ่งโดยเขาเต็มใจที่จะช่วยเหลือเด็กคนนี้เนื่องจากว่าเขาเห็นเด็กคนนี้นั้นขยันทำมาหากินหาเงินไปช่วยเหลือพ่อแม่และหาเงินเรียนหนังสือซื้อเขามองว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีแต่เขารู้สึกภูมิใจแทนพ่อแม่ของเด็กคนนี้มากเขาจึงอยากช่วยเหลือเด็กคนนี้ให้มีรองเท้าใหม่ขอดูจากสภาพของรองเท้าของเด็กคนนี้แล้วหากฝนตกลงมาก็คงเปียกแฉะไปหมดเพราะมีรอยรั่วรอยขาดเต็มไปหมด

           นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ายกย่องอย่างหนึ่งสำหรับคนในสังคมไทยที่มีจิตใจเมตตาออกอ้อมอารีสำหรับคนที่มีมากกว่าก็สามารถช่วยเหลือคนที่มีน้อยกว่าโดยเฉพาะเด็กที่ยากจนแต่ขยันและรักเรียนควรได้รับการส่งเสริมให้ได้รับสิ่งที่ดีบ้างโทรหาเปรียบเทียบกับเด็กที่พ่อแม่มีเงินทองร่ำรวยก็เข้ามาจะไม่เห็นค่าของเงิน

และมักจะมีการใช้จ่ายเงินโดยที่ไม่สนใจว่าพ่อแม่นั้นจะหาเงินมาด้วยความยากลำบากขนาดไหนในขณะที่เด็กบางคนต้องดิ้นรนออกมาทำงานหาเลี้ยงตนเองตั้งแต่อายุยังน้อยยังงั้นในกลุ่มนี้จึงควรได้รับการสนับสนุนให้พวกเขาได้ประสบกับความสำเร็จ

 

สนับสนุนโดย  www.ufabet.com ช่องทางเข้าเว็ปพนัน

ขนาดนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ยังต้องทำตามกฎเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่อร้านอาหารไม่ให้เข้าร้านเต็ม ต้องรอคิว 

     เป็นเรื่องราวที่มีคนพูดถึงกันอย่างมาก เมื่อนายกรัฐมนตรีของประเทศ นิวซีแลนด์  จาซินดา อาร์เดิร์น เดินทางไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในกรุงเวลลิงตัน ชื่อว่าร้าน Olive  โดยนายกรัฐมนตรีเดินทางเพื่อไปรับประทานอาหารกับสามีของเธอ  แต่เมื่อไปถึงร้านปรากฏว่ามีคนมารอเข้าคิวทานอาหารที่ร้าน Olive เยอะมาก

ซึ่งทางร้านได้มีการจัดที่นั่งให้ลูกค้าด้วยการนั่งเว้นระยะห่างทางสังคมตามที่มีการประกาศของความร่วมมือจากทางรัฐบาล ดังนั้นเมื่อนายกรัฐมนตรีและสามีมารับประทานอาหารที่ร้านแห่งนี้แบบไม่ได้มีการจองโต๊ะไว้ล่วงหน้า พนักงานของร้านจึงจำเป็นต้องให้ทั้งคู่รอคิวในการเข้าไปรับประทานอาหารภายในร้าน แต่ถึงแม้จะมีการรอคิว แต่ท้ายที่สุดแล้ว

พนักงานของร้านก็ออกมาบอกกับนายกรัฐมนตรีและสามีของเธอว่า ที่นั่งภายในร้านเต็มหมดแล้วทำให้ทั้งคู่จำเป็นต้องเดินกลับไม่ได้กินอาหารในร้านทีตั้งใจมากิน ซึ่งในขณะที่ทั้งคู่มารอคิวเข้าไปทานอาหารภายในร้านนั้น มีประชาชนเห็นทั้งคู่และจำได้ว่าเธอคือ นายกรัฐมนตรีของประเทศนิวซีแลนด์ จาซินดา อาร์เดิร์น กับสามีของเธอ  คลาร์ก นั่นเอง 

ซึ่งในเวลาต่อมาคนที่เห็นและจำทั้งคู่ได้นั่นก็คือ โจอี้ เขาได้นำเรื่องราวที่เขาพบเห็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนิวซีแลนด์ จาซินดา อาร์เดิร์น กับสามีของเธอ  คลาร์ก มารอคิวเพื่อจะกินอาหารแต่ถูกปฏิเสธ จึงได้นำเรื่องราวของทั้งคู่ไปทวิตในทวิตเตอร์  ซึ่งเขาได้บอกความรู้สึกของตนเองไปด้วยว่า ตัวเขาเองนั้น รู้สึกตกใจมากที่เห็นนายกรัฐมนตรี กับสามีของเธอ  มาที่ร้านนี้และยังถูกทางร้านไม่ให้เข้าร้านอีกด้วย

ซึ่งต่อมาได้มีทวิตเตอร์ของ นาย คลาร์ก  ซึ่งเป็นสามีของ จาซินดา อาร์เดิร์น ได้มีการทวิตกลับมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวว่าที่จริงแล้วเป็นความผิดของพวกเขาเองที่ไม่ยอมจองโต๊ะก่อน และการทำงานของพนักงานของร้าน Olive ก็ทำถูกตอ้งและถูกขั้นตอนดีแล้ว และทุกคนก็บริการดีมาก ซึ่งนายคลาร์ก ยังได้บอกอีกว่า ที่จริงแล้วหลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังเดินทางกลับกันนั้น

พนักงานร้านได้วิ่งมาตามพวกเขาให้กลับไปที่ร้านเพราะมีที่ว่างพอดี ซึ่งพวกเขาเองก็ได้กลับไปที่ร้านเพื่อทานอาหารกัน ซึ่งพนักงานทุกคนที่บริการอยู่ภายในร้านก็บริการดีมาก  ภายหลังทางร้านซึ่งเป็นเจ้าของร้านได้ออกมาบอกถึงเรื่องนี้ว่า ทางร้านจะปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีกับสามีมากินอาหารที่ร้านนี้ก็ตาม และเจ้าของร้านยังบอกอีกว่า  นายกรัฐมนตรีกับสามี น่ารักมากและสุภาพกับพนักงานในร้านมากซึ่งพวกเขา นั่งทานอาหารเพียงแค่ 30 นาทีก็กลับ

 

สนับสนุนโดย    gclub slot ทดลองเล่น

        มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ออกมาเตือนภัยเกี่ยวกับพฤติกรรมเวลาที่ต้องเดินทางไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆของสามีซึ่งเธอบอกว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเธอนั้นได้พากันไปเที่ยวกับกลุ่มของเพื่อนซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนของฝั่งทางสามีของเธอโดยเธอนั้นได้ไปเที่ยวพักผ่อนบนแพซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อสามีของเธอและเพื่อนๆกินเหล้ากันอยู่ที่บริเวณทานอาหารบนแพส่วนตัวเธอนั้นเธอได้เข้าไปนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องแต่อยู่ดีๆ

เพื่อนสามีของเธอซึ่งเธอก็รู้จักและสนิทสนมเป็นอย่างดีก็เดินเข้ามาในห้องขณะที่เธอนอนหลับและเธอก็รับรู้ได้ว่ามีการสัมผัสที่หน้าอกของเธอเธอจึงได้ร้องโวยวายออกมาซึ่งชายคนดังกล่าวนั้นยืนยันว่าเขาเพียงแค่ต้องการมาเข้าห้องน้ำเท่านั้นและไม่ได้ทำอะไรเธอและต่อว่าเธอหาว่าเธอนั้นตั้งเรื่องโกหกอย่างไรก็ตามเธอได้บอกกล่าวถึงเรื่องราวดังกล่าวว่าเธอได้มีการเช็คข้อมูลกับทางเจ้าของแพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ยืนยันว่าห้องน้ำบนแพใช้ปั๊มน้ำตัวเดียวดังนั้นหากจะอ้างว่าห้องน้ำห้องอื่นไม่ไหลจึงต้องมาขอห้องน้ำที่ห้องของเธอนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เพราะเธอมีหลักฐานพยานจากทางเจ้าของแพยืนยันนั่นเองเธอยังบอกอีกว่าขนาดนี้เธอยังรอให้อีกฝ่ายมาขอโทษเพราะเธอนั้นไม่อยากที่จะฟ้องร้องกันให้เป็นเรื่องราว

เนื่องจากว่าตัวเธอเองนั้นรู้จักครอบครัวของฝ่ายชายเป็นอย่างดีโดยเธอนั้นนับถือพ่อแม่ของฝ่ายชายและยังสงสารภรรยาของฝ่ายชายอีกด้วย อย่างไรก็ตามเธอได้ออกมาพูดถึงเรื่องราวในครั้งนี้ว่าที่เธอต้องการแชร์ข้อความนี้ลงใน Facebook ก็เพราะว่าเธออยากจะให้ผู้หญิงทุกคนนั้นพึงระลึกอยู่เสมอว่าไม่ควรที่จะไว้ใจใครแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นเพื่อนของคุณหรือเพื่อนของสามีคุณก็ตามและเธอยังเด้อัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมใน Facebook อีกด้วยว่าหลังจากผ่านพ้นจากเรื่องราวดังกล่าวนั้นไป 3 วันแล้วฝ่ายชายก็ยังไม่ออกมาขอโทษเธอ

ซึ่งในที่สุดเธอจึงได้ตัดสินใจว่าจะมีการดำเนินการทางกฎหมายซึ่งเธอได้มีการปรึกษาทนายความเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยทนายความยืนยันว่าเธอสามารถชนะคดีในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอนเพราะเธอมีทั้งพยานหลักฐานไว้หมดแล้ว 

          สำหรับผู้ชายที่เธอกล่าวถึงว่าเป็นเพื่อนของสามีของเธอและจะข่มขืนเธอนั้นมีหน้าที่การงานเป็นถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเธอยังได้กล่าวอีกว่าหลังจากที่เธอมีการโพสต์เรื่องราวนี้ออกไปมีหญิงสาวหลายคนได้มีการติดต่อมาพูดคุยกับเธออีกทั้งยังเคยโดนชายคนดังกล่าวนั้นลวนลามเช่นเดียวกันกับที่เธอโดนเหมือนกันอีกด้วยดังนั้นเธอจึงต้องการที่จะดำเนินคดีกับฝ่ายชายเพราะไม่อยากให้ฝ่ายชายนั้นไปกระทำแบบนี้กับหญิงสาวคนอื่นอีก

 

สนับสนุนโดย  บาคาร่าเล่นยังไง

ข่าวนี้เป็นที่เปิดเผยขึ้นเมื่อ เด็กหญิง ป.6 วัย 12 ปี เกิดอาการปวดท้อง และมีอาการปวดท้องมาอย่างต่อเนื่อง จนพี่สาวต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ได้ทำการรักษาและพบว่ามดลูกของน้องสาวมีอาการอักเสบอย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ หลังจากนั้นพี่สาวได้เค้นความจริงจากน้องสาว

ถึงได้ทราบว่าถูกญาติทั้งหมด 7 คน ข่มขืนมาเป็นเวลากว่า 2 ปี มีการใช้อาวุธข่มขู่และบังคับให้กินยาคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ จึงนำไปสู่การแจ้งความเพื่อนำตัวคนผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 เวลา 10.00 น. พ.ต.อ.มาโนชญ์ จิตรภักดี รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.ศาสตรา คงนาม รองผู้กำกับปราบปรามสถานีตำรวจภูธรเมืองสุพรรณบุรี พ.ต.ท.สะอาด ดัดธุยะวัตร์ รองผู้กำกับสืบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสุพรรณบุรี ได้แถลงข่าวการเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 5 คนตามหมายจับ ดังนี้ 

1.นายอนันต์ อายุ 51 ปี มีพฤติการณ์ข่มขืนกระทำชำเราละยังมีการใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของเด็กหญิง A (นามสมมติ) ที่บ้านของนายอนันต์เอง พร้อมทั้งมีการข่มขู่ว่าถ้าเด็กหญิงนำเรื่องดังกล่าวไปบอกใคร จะทำร้ายเด็กหญิง A ครั้งสุดท้ายที่ล่วงละเมิดเด็กหญิง A คือเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2563 

  1. นายสุรัตน์ อายุ 34 ปี เป็นลูกเขยของนายอนันต์ มีบ้านพักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านเด็กหญิง A มีพฤติการณ์บังคับกระทำชำเราวันเว้นวันตามคำให้การของเด็กหญิง A วันสุดท้ายคือวันที่ 3 มิถุนายน 2563 

3.นายพะเยาว์ อายุ 32 ปี อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านเด็กหญิง A ได้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง A เฉพาะตอนที่ไม่มีคนอยู่ภายในบ้าน

4.นายประเชิญ อายุ 32 ปี มีพฤติการณ์ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง A ในห้องน้ำของบ้านเด็กหญิง A หลายครั้ง ทั้งยังข่มขู่ว่าจะฆ่าหากเด็กหญิง A เอาเรื่องไปบอกใคร

5.นายทรงวุธต์ อายุ 21 ปี มีพฤติการณ์ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง A โดยการบังคับขู่เข็ญขณะที่ไม่มีคนอยู่ในบ้าน ตั้งแต่ปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2561 เฉลี่ยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือเดือนพฤษภาคม 2563 

ส่วนอีก 2 คน เป็นเด็กชาย มีพฤติการณ์ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง A หลายครั้ง พนักงานสอบสวนจึงต้องทำหนังสือไปถึงผู้ปกครองเพื่อเรียกตัวมาสอบปากคำ เนื่องจากเป็นเด็ก ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่สามารถออกหมายจับได้ ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ยังคงให้การปฏิเสธ และขอให้การในชั้นศาล อีกทั้งยังอ้างว่าเด็กหญิง A สติไม่สมประกอบ

กุเรื่องขึ้นมา ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คนไปส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีแล้ว ได้มีญาติมาติดต่อขอประกันตัว แต่ในชั้นพนักงานสอบสวนตำรวจไม่อนุมัติให้ประกันตัว ให้ทำเรื่องประกันตัวในชั้นศาลต่อไป

เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่น่าสลดใจทีเลยทีเดียวที่เด็กหญิงวัยแค่ 12 ปี จะต้องมาเจอกับฝันร้ายที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต เด็กที่กำลังมีอยู่ในวัยผลิบาน มีอนาคตสดใสจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดระแวงและหวาดกลัว สภาพจิตใจของเด็กคงไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ หากผลพิสูจน์ออกมาว่าทั้ง 7 คน ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง A จริง ก็หวังว่ากฎหมายจะลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเป็นธรรมที่สุด

 

สนับสนุนโดย  ufabetcn